ทั้งนวกะ - เสขะ - อเสขะ ก็พึงเจริญสติปัฏฐาน
(ก.พวกนวกะ)
ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้บวชใหม่บวชแล้วไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้. ภิกษุเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงชักชวน พึงให้เข้าอยู่ พึงให้ตั้งมั่นในการเจริญซึ่งสติปัฏฐานสี่. สี่อย่างไรเล่า ? (พึงชักชวนว่า :- )
มาเถิดท่านผู้มีอายุ ท.! จงเป็นผู้ มีปกติตามเห็นกายในกาย อยู่เถิด เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ ให้สมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้ตามเป็นจริงซึ่งกาย; (ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และ ธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน).
(ข. สำหรับพระเสขะ)
ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่าใด เป็นเสขะ มีความประสงค์แห่งใจอันยังไม่บรรลุแล้ว ปรารถนาอยู่ซึ่งธรรมอันเกษมจากโยคะไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อยู่; ถึงแม้ภิกษุเหล่านั้น ก็ยังจะเป็นผู้ มีปกติตามเห็นกายในกาย อยู่ เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปะชัญญะ ให้สมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรอบรู้ซึ่งกาย; (ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน).
(ค. สำหรับพระอเสขะ)
ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่าใด เป็นอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำกระทำเสร็จแล้ว มีภาระปลงลงแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันตามบรรลุแล้ว มีสัญโญชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ; ถึงแม้ภิกษุเหล่านั้น ก็ยังจะเป็นผู้ มีปกติตามเห็นกายในกาย อยู่ เป็นผู้อยู่อย่างมีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ ให้สมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์เดียว (เพื่อความเป็น) ผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกาย; (ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน).
มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๙๔ - ๑๙๕/๖๙๑ - ๖๙๔.
(พุทธบริษัทพึงทราบถึงหลักการพิเศษที่มีอยู่ว่า แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังปฏิบัติธรรมที่ทำความเป็นพระอรหันต์ ที่ตนเคยปฏิบัติอยู่เพื่อความเป็นพระอรหันต์ ก่อนการบรรลุความเป็นพระอรหันต์; การทำเช่นนั้นก็เพื่อเป็นตัวอย่าง หรือกำลังใจ แก่ผู้ที่ยังไม่บรรลุความเป็นพระอรหันต์บ้าง เพื่อความอยู่เป็นสุขของตนเองบ้าง. ส่วนในกรณีแห่งสูตรนี้ เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างแยกตัวห่างจากสิ่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น หรือแห่งอภิชฌาและโทมนัส ดังนี้แล้ว นับประสาอะไรกับผู้ที่ยังไม่บรรลุความเป็นพระอรหันต์ จะไม่พึงขะมักเขม้นในการปฏิบัติเพื่อบรรลุความเป็นพระอรหันต์ด้วยเล่า. และพึงมองเห็นความน่าอัศจรรย์แห่งพระธรรมที่มีลักษณะอย่างนี้).
สติปัฏฐานสี่เหมาะสมทั้งแก่อเสขะ - เสขะ – และคฤหัสถ์
กันทรกะ ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริง. กันทรกะ ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริง. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้มีแล้วในอดีตกาลนานไกล; พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้น เหมือนภิกษุสงฆ์ที่เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้. กันทรกะ ! พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จักมีอยู่ในอนาคตกาลนานไกล; พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็จักทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้นเหมือนภิกษุสงฆ์ที่เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้.
กันทรกะ ! ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มี ภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำอันกระทำแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันตามถึงแล้ว มีสัญโญชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ. กันทรกะ ! อนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มี ภิกษุผู้เป็นเสขะ (กำลังปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์) มีศีลไม่ขาดสาย มีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญาเครื่อง
รักษาตน มีความประพฤติเป็นไปด้วยปัญญาเครื่องรักษาตน. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น๑ เป็นผู้มีจิตตั้งไว้เฉพาะด้วยดีในสติปัฏฐานทั้งสี่ อยู่. สี่อย่างไรเล่า ? สี่คือ ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกาย .... มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย .... มีปกติตามเห็นจิตในจิต .... มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่.
(เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ นายเปสสหัตถาโรหบุตร กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า :-)
“น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่สติปัฏฐานสี่เหล่านี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อความดับแห่งทุกขโทมนัส เพื่อถึงทับซึ่งญายธรรม เพื่อการกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีพวกข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็นคฤหัสถ์นุ่งขาว ก็มีจิตตั้งไว้ดีแล้วในสติปัฏฐานสี่เหล่านี้ ตลอดกาลอันควรอยู่; คือข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีปรกติตามเห็นกายในกาย .... มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย .... มีปกติตามเห็นจิตในจิต .... มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่. น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ไม่เปิดเผย เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์เดนกากเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์โอ้อวด เป็นไปอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงทราบสิ่งอันเป็นประโยชน์และไม่
๑. นี้หมายความว่า ภิกษุทั้งหมดทั้งที่เป็นพระอรหันต์และยังเป็นเสขะ ล้วนแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ คำถามอาจจะมีว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว เจริญสติปัฏฐานไปทำไมกัน? คำตอบคือ เพื่อความอยู่เป็นผาสุขของท่าน เช่นนั้นเอง.
เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย (ทุกจำพวก) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัตว์ลึกลับคือพวกมนุษย์ สัตว์เปิดเผย คือพวกปสุสัตว์ ....