พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/85/83
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไรหนอและเธอทั้งหลายสนทนาเรื่องอะไรค้างไว้ในระหว่าง ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตนั่งประชุมกันใน
โรงกลมใกล้ต้นกุ่มนี้ เกิดสนทนากันในระหว่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถือการ
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เที่ยวไปบิณฑบาตอยู่ย่อมได้เห็นรูปอันเป็นที่พอใจด้วยจักษุ ... แม้เรา
ทั้งหลายก็จักเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง เที่ยวไปบิณฑบาต ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ทั้งหลายสนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างนี้แล ก็พอดีพระผู้มีพระภาค
เสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายเป็นกุลบุตรออกบวช
เป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา พึงกล่าวเรื่องเห็นปานนี้นั้นไม่สมควรเลยเธอทั้งหลายประชุม
กันแล้วพึงกระทำอาการ ๒ อย่าง คือ ธรรมีกถา หรือดุษณีภาพอันเป็นอริยะ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลา
นั้นว่า
ถ้าว่าภิกษุไม่อาศัยเสียงสรรเสริญแล้วไซร้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรผู้เลี้ยงตนมิใช่ผู้เลี้ยง
คนอื่น ผู้คงที่ ฯ
จบสูตรที่ ๘
๙. สิปปสูตร
[๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต
แล้ว นั่งประชุมกันในโรงกลม ได้สนทนากันถึงเรื่องเป็นไปในระหว่างว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ใครหนอแลย่อมรู้ศิลป ใครศึกษาศิลปอะไร ศิลปอย่างไหนเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย
บรรดาภิกษุเหล่านั้นภิกษุบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปในการฝึกช้างเป็นยอดแห่งศิลปทั้งหลาย