พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/79/47
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ปฏิบัติตามที่เราพร่ำสอนตลอด
๙ คืน ๙ วัน ๘ คืน ๘ วัน ๗ คืน๗ วัน ๖ คืน ๖ วัน ๕ คืน ๕ วัน ๔ คืน ๔ วัน ๓ คืน
๓ วัน ๒ คืน๒ วัน ๑ คืน ๑ วัน พึงเป็นผู้เสวยสุขโดยส่วนเดียวตลอดร้อยปีก็มี หมื่นปีก็มี
แสนปีก็มี และสาวกของเรานั้นแล พึงเป็นสกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มีเป็นโสดาบันปฏิบัติ
ไม่ผิดก็มี ดูกรอุบาสกชาวสักกะทั้งหลาย ไม่เป็นลาภของท่านทั้งหลายเสียแล้ว ท่านทั้งหลาย
ไม่ได้ดีแล้ว ที่ท่านทั้งหลาย เมื่อชีวิตมีภัยเพราะความโศก มีภัยเพราะความตายอย่างนี้ บางคราว
ก็รักษาอุโบสถอันมีองค์ ๘บางครั้งก็ไม่รักษา ฯ
อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้จักรักษาอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
จบสูตรที่ ๖
มหาลิสูตร
[๔๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวันใกล้นครเวสาลี
ครั้งนั้นแล กษัตริย์ลิจฉวีพระนามว่ามหาลี ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม แห่งความ
เป็นไปแห่งบาปกรรม พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาลี โลภะแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่ง
การทำบาปกรรม แห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ดูกรมหาลี โทสะแล ...โมหะแล ... อโยนิโส
มนสิการแล ... ดูกรมหาลี จิตอันบุคคลตั้งไว้ผิดแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม
แห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ดูกรมหาลี กิเลสมีโลภะเป็นต้นนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่ง
การทำบาปกรรมแห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม ฯ
ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการทำกัลยาณกรรม แห่ง
ความเป็นไปแห่งกัลยาณกรรม ฯ