พระสุตตันตปิฎกไทย: 18/79/142 143

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
เล่ม 18
หน้า 79

[๑๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อภิภายตนะ ๖ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศล บาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว อายตนะนี้ พระผู้มี พระภาคตรัสว่าเป็นอภิภายตนะ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลายมีความดำริแล่นไป เป็น ฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้เพราะได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจ ข้อนั้นภิกษุพึง ทราบว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว อายตนะนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นอภิภายตนะ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย อายตนะเหล่านี้ เรากล่าวว่าอภิภายตนะ ๖ ฯ จบสูตรที่ ๓ ปมาทวิหารีสูตร
[๑๔๓] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจัก แสดงภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท และภิกษุผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท เธอทั้งหลายจงฟังเถิด ก็ ภิกษุเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่ จิต ย่อมแส่ไปในรูปทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เมื่อภิกษุมีจิตแส่ไปแล้ว ปราโมทย์ก็ไม่มี เมื่อ ปราโมทย์ไม่มี ปีติก็ไม่มี เมื่อปีติไม่มี ปัสสัทธิก็ไม่มี เมื่อปัสสัทธิไม่มี ภิกษุนั้นก็อยู่ลำบาก จิตของภิกษุผู้ มีความลำบาก ย่อมไม่ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ เพราะ ธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ ภิกษุนั้นก็ถึงความนับว่า เป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทแท้จริง ฯลฯ เมื่อภิกษุไม่สำรวมชิวหินทรีย์ จิตย่อมแส่ไปในรสทั้งหลายที่พึงรู้แจ้ง ด้วยลิ้น เมื่อภิกษุมีจิต แส่ไปแล้ว ฯลฯ ภิกษุนั้นก็ถึงความนับว่า เป็นผู้อยู่ด้วยความ ประมาทแท้จริง ฯลฯ เมื่อภิกษุ ไม่สำรวมมนินทรีย์อยู่ จิตย่อมแส่ไปในธรรมา รมณ์ทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ เมื่อภิกษุมีจิตแส่ ไปแล้ว ปราโมทย์ก็ไม่มี ปราโมทย์ไม่มี ปีติก็ไม่มี เมื่อปีติไม่มี ปัสสัทธิก็ไม่มี เมื่อ