พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/72/65
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๖๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุเธอจงไปเรียก
ภัททิยะภิกษุมาตามคำของเราว่า ภัททิยะผู้มีอายุ พระศาสดาตรัสสั่งให้หาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับ
พระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระภัททิยะพระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธา ครั้นแล้วได้
กล่าวกะท่านพระภัททิยะพระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธาว่า ดูกรอาวุโสภัททิยะ พระศาสดา
รับสั่งให้หาท่านท่านพระภัททิยะพระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธา รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสถามท่าน พระภัททิยะพระโอรสของพระราชเทวีกาฬิโคธาว่าดูกรภัททิยะ ได้ยินว่า ท่าน
อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดีเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้
จริงหรือ ท่านพระภัททิยะทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า
พ. ดูกรภัททิยะ ท่านเห็นอำนาจประโยชน์อะไรเล่า อยู่ในป่าก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี อยู่
เรือนว่างก็ดี จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ฯ
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อนเสวยสุขในราช
สมบัติอยู่ ได้มีการรักษาอันพวกราชบุรุษจัดแจงดีแล้ว ทั้งภายในพระราชวัง ทั้งภายนอกพระ
ราชวัง ทั้งภายในพระนคร ทั้งภายนอกพระนครทั้งภายในชนบท ทั้งภายนอกชนบท ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้นแลเป็นผู้อันราชบุรุษรักษาแล้วคุ้มครองแล้วอย่างนี้ ยังเป็นผู้กลัว
หวาดเสียวระแวง สะดุ้งอยู่ แต่บัดนี้ ข้าพระองค์ผู้เดียวอยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือน
ว่างก็ดี ไม่กลัว ไม่หวาดเสียว ไม่ระแวง ไม่สะดุ้ง มีความขวนขวายน้อยมีขนตก เป็นไป
อยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดุจเนื้ออยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์นี้แล
อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความกำเริบ (ความโกรธ) ย่อมไม่มีภายในพระอริยบุคคลผู้ก้าวล่วง
ความเจริญและความเสื่อมมีประการอย่างนั้น เทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่
สามารถเพื่อจะเห็นพระอริยบุคคลนั้นผู้ปราศจากภัย มีความสุข ไม่มี
ความโศก ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบมุจลินทวรรคที่ ๒