พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/72/43 44
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
พ. ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการ ๑๐ ประการเป็นไฉนดูกรอุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่
เป็นธรรม ... ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตได้บัญญัติไว้ ย่อมแสดงสิ่งที่
ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๒
วิวาทมูลสูตรที่ ๒
[๔๓] อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มูลเหตุแห่งการวิวาท มีเท่าไรหนอแล ฯ
พ. ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการ ๑๐ ประการเป็นไฉนดูกรอุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นอาบัติว่าเป็นอาบัติ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นอาบัติว่าไม่
เป็นอาบัติ ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก ย่อมแสดงอาบัติหนักว่าเป็นอาบัติเบา
ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า ไม่เป็นอาบัติชั่วหยาบย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติ
ชั่วหยาบ ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าเป็นอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ย่อมแสดงอาบัติไม่มีส่วน
เหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ ย่อมแสดงอาบัติที่ทำคืนได้ว่า เป็นอาบัติที่ทำคืนไม่ได้ ย่อม
แสดงอาบัติที่ทำคืนไม่ได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนได้ ดูกรอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทมี ๑๐ ประการ
นี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๓
กุสินาราสูตร
[๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ไพรสณฑ์เป็นที่นำไปทำพลีกรรม ใกล้
กรุงกุสินารา ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรม ๕ ประการในตน พึงเข้าไปตั้งธรรม ๕ ประการ