พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/72/57
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยเครื่องให้สัทธรรมไม่ตั้งอยู่นานในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกิมมิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระศาสดา ... ในธรรม ... ในสงฆ์ ... ใน
สิกขา ... ในสมาธิ ... ในความไม่ประมาท... ในปฏิสันถาร ดูกรกิมมิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้สัทธรรมไม่ตั้งอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ
กิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้สัทธรรมตั้งอยู่นาน ใน
เมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว ฯ
พ. ดูกรกิมมิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในพระศาสดา ...ในธรรม ... ในสงฆ์ ... ในสิกขา ...
ในความไม่ประมาท ... ในปฏิสันถาร ดูกรกิมมิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้สัทธรรม
ตั้งอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๖
สัตตธรรมสูตร
[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ ไม่นานนัก พึงกระทำ
ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอัน
ยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ธรรม ๗ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ เป็นผู้มีศรัทธา ๑มีศีล ๑ เป็นพหูสูต ๑ เป็นผู้หลีกออกเร้น ๑ ปรารภความเพียร ๑ มี
สติ ๑มีปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล ไม่นานนัก
พึงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๗