พระสุตตันตปิฎกไทย: 21/69/63 64
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
สพรหมสูตร
[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใด
บูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้น ชื่อว่ามีพรหม มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของ
ตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพาจารย์ มารดาและบิดา เป็นผู้อัน
บุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพเทพ มารดาและ
บิดาเป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีอาหุ
เนยยบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมบุรพาจารย์ บุรพเทพอาหุเนยยบุคคล นี้เป็นชื่อของ
มารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ประคบ
ประหงมเลี้ยงดูบุตร เป็นผู้แสดงโลกนี้ แก่บุตร ฯ
มารดาและบิดาผู้อนุเคราะห์แก่บุตร ท่านเรียกว่า พรหม
บุรพาจารย์ และอาหุเนยยบุคคลของบุตรทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแหละ บุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงนอบน้อม พึงสักการะ
ท่านด้วยข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง อบกาย ให้อาบน้ำ
และชำระเท้า เพราะเหตุที่บุตรผู้เป็นบัณฑิตได้บำรุงบำเรอ
ใน มารดาและบิดา บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขา
ครั้นเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๓
นิรยสูตร
[๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก
เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประ
พฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อม
เกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การคบหาภรรยาของผู้อื่น การ
พูดเท็จ เรากล่าวว่า เป็นกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่สรรเสริญเลย ฯ
จบสูตรที่ ๔