พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/68/70      
      สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
      
     
 
    
        
          
            และพวกเจ้าวัชชีจักสนใจในอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใดพราหมณ์  พึงหวังได้ซึ่งความ
เจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม  เพียงนั้น ฯ
      เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วัสสการพราหมณ์ อำมาตย์ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐได้
ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกเจ้าวัชชีมาประกอบด้วยอปริหานิยธรรม แม้ข้อหนึ่งๆ ก็ยัง
หวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม จะป่วย  กล่าวไปไยถึงอปรินิยธรรมทั้ง ๗ ข้อเล่า
พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู    เวเทหีบุตร ไม่ควรกระทำการรบกับเจ้าวัชชี นอกจาก
จะปรองดอง นอกจากจะยุ     ให้แตกกันเป็นพวก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีกรณียะ
มาก    จะขอลาไปในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านย่อมทราบกาลอัน  ควรใน
บัดนี้เถิด ลำดับนั้น วัสสการพราหมณ์ อำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐ ชื่นชม ยินดีพระภาษิต ของ
พระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว ฯ
 [๗๐] ครั้งนั้น เมื่อวัสสการพราหมณ์อำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐหลีกไป   ไม่นาน พระผู้
มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงไป      จงสั่งให้ภิกษุทุกรูปซึ่งอยู่อาศัย
พระนครราชคฤห์ ให้มาประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา   ท่านพระอานนท์รับพระดำรัสของพระผู้มี
พระภาคแล้ว สั่งให้ภิกษุทุกรูปซึ่งอยู่อาศัย พระนครราชคฤห์ให้ประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา แล้ว
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค       ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่
ณ ที่ควร  ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
 ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอพระองค์ทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ
      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐาน  ศาลา แล้ว
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นประทับนั่งแล้ว รับสั่งกะภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ แก่พวกเธอ  พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มี  พระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
      ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักหมั่นประชุมกันเนืองๆ อยู่เพียงใด  พึงหวังได้
ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ฯ
      ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักพร้อมเพรียงกันประชุม จักพร้อมเพรียงกันเลิก
ประชุม และจักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์พึงกระทำ อยู่เพียงใด  พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ