พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/66/58
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
จีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ได้ทอดพระเนตรเห็นปริพาชกนั้น ผู้อันทุกข์
เวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนถูกต้องแล้ว หมุนมาหมุนไปอยู่โดยรอบ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชนผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล มีความสุขหนอ ชนผู้ถึงเวท(คือ อริย
มรรคญาณ) เท่านั้น ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลท่านจงดูชนผู้มี
กิเลสเครื่องกังวลเดือดร้อนอยู่ ชนเป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในชนย่อมเดือด
ร้อน ฯ
จบสูตรที่ ๖
๗. เอกปุตตสูตร
[๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล บุตรคนเดียวของอุบาสกคนหนึ่ง เป็นที่รัก เป็น
ที่พอใจ ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล อุบาสกมากด้วยกันมีผ้าชุ่ม มีผมเปียกเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับในเวลาเที่ยง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสถามอุบาสกเหล่านั้นว่าดูอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมีผ้าชุ่ม มีผมเปียกเข้ามาใน
ที่นี้ในเวลาเที่ยงเพราะเหตุไรหนอ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว อุบาสกนั้นได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคบุตรคนเดียวของข้าพระองค์ ผู้เป็นที่รัก เป็นที่พอใจทำกาละ
แล้วเพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงมีผ้าชุ่ม มีผมเปียก เข้ามาในที่นี้ในเวลาเที่ยง ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
หมู่เทวดาและหมู่มนุษย์เป็นจำนวนมาก ยินดีแล้วด้วยความเพลิดเพลิน
ในรูปอันเป็นที่รัก ถึงความทุกข์ เสื่อมหมดแล้ว(จากสมบัติ) ย่อม
ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราช พระอริยบุคคลเหล่าใดแล ไม่ประมาททั้งกลาง
คืนและกลางวัน ย่อมละรูปอันเป็นที่รักเสียได้ พระอริยบุคคลเล่านั้น