พระสุตตันตปิฎกไทย: 21/52/50

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
เล่ม 21
หน้า 52
วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญ ผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่ง ที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อ ว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษม จากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้ เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้ว ได้จิตของตน ควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็น สิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่ เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความ เป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่ ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม สมาทานสัมมาทิฐิ จึง ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ จบสูตรที่ ๙ อุปกิเลสสูตร
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องมัวหมองของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุ ให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่ส่องแสง ไม่ไพโรจน์มี ๔ ประการนี้ ๔ ประการ เป็นไฉน คือ เมฆ ๑ หมอก ๑ ควันและละออง ๑ราหูจอมอสูร ๑ เครื่องมัวหมองของ พระจันทร์และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่สว่างไสว ไม่ไพโรจน์ ๔ ประการนี้แลดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันเป็นเหตุ ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ก็มี ๔ ประการ ฉันนั้นเหมือนกัน