พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/47/36
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
บุคคลผู้ประหารนั้น การเกียจกันใจจากสิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลาย ของ
พราหมณ์ เป็นคุณประเสริฐหาน้อยไม่ ใจประกอบด้วยความเบียดเบียน
ย่อมกลับจากวัตถุใดๆ ทุกข์ย่อมสงบได้หมดจากวัตถุนั้นๆเรากล่าว
บุคคลผู้ไม่มีกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจ ผู้สำรวมแล้วจากฐานะทั้ง ๓
ว่าเป็นพราหมณ์ บุคคลพึงรู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
แล้วจากบุคคลใด พึงนอบน้อมบุคคลนั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์
นอบน้อมการบูชาไฟ ฉะนั้น บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะการเกล้า
ชฎา เพราะโคตร เพราะชาติหามิได้ สัจจะและธรรมะมีอยู่ในผู้ใด
ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดอยู่ ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ด้วย ดูกรท่านผู้มีปัญญาทราม
จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเกล้าชฎาแก่ท่าน จะมีประโยชน์อะไร
ด้วยผ้าสาฎกที่ทำด้วยหนังชะมดแก่ท่าน ภายในของท่านรกชัฏ ท่าน
ย่อมขัดสีแต่อวัยวะภายนอก เรากล่าวบุคคลผู้ทรงผ้าบังสุกุลซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ผู้เดียวเพ่ง (ฌาน)อยู่ในป่านั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ก็เราไม่กล่าวผู้ที่เกิดแต่กำเนิด ผู้มีมารดาเป็นแดนเกิด ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่าโภวาที (ผู้กล่าวว่าท่านผู้เจริญ) ผู้นั้นแลเป็นผู้มีกิเลส
เครื่องกังวล เรากล่าวบุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลผู้ไม่ถือมั่นนั้น ว่า
เป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ที่ตัดสังโยชน์ทั้งหมดได้ ไม่สะดุ้ง ผู้ล่วงกิเลส
เป็นเครื่องข้อง ไม่ประกอบแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลผู้ตัด
ความโกรธดุจชะเนาะ ตัดตัณหาดุจหนังหัวเกวียน และตัดทิฐิดุจเงื่อน
พร้อมทั้งอนุสัยดุจสายเสียได้ ผู้มีอวิชชาดุจลิ่มสลักอันถอนแล้ว ตรัสรู้
แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นได้ซึ่งการด่า
การทุบตีและการจองจำ ผู้มีกำลัง คือ ขันติ ผู้มีหมู่พลเมืองคือขันติ
ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลผู้ไม่โกรธ มีวัตร มีศีลไม่มีกิเลส
เครื่องฟูขึ้น ฝึกตนแล้ว มีร่างกายตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เรากล่าวผู้ที่ไม่ติดในกามทั้งหลายดุจน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว ดังเมล็ดพันธุ์