พระสุตตันตปิฎกไทย: 21/41/39      
      สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
      
     
 
    
        
          
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวง อันสละแล้วอย่างไร ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ มีการแสวงหากามอันละได้แล้ว มีการแสวงหาภพอันละได้แล้ว มีการแสวงหา
พรหมจรรย์อันสงบแล้ว ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว อย่างนี้แล ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างนี้แล ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ละอัสมิมานะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วนกระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้น
อีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิ
สัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วมีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
เราเรียกว่าผู้หลีกออกเร้นอยู่ ฯ
 การแสวงหากาม การแสวงหาภพ กับการแสวงหา
พรหมจรรย์ อันภิกษุในธรรมวินัยนี้ สละคืนแล้ว การ
เชื่อถือสัจจะ และ  ฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย อันภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ถอนขึ้นแล้วด้วยประการดังนี้ ภิกษุผู้สำรอก
ราคะทั้งปวง ผู้หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา สละคืนการ
แสวงหา ถอนฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย ได้แล้ว ภิกษุนั้นแล
เป็นผู้สงบ มีสติ ระงับกายสังขารเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้
 เป็นผู้ตรัสรู้เพราะรู้เท่าถึงมานะ เราเรียกว่า  เป็นผู้หลีกออก
เร้นอยู่ ฯ
           	     จบสูตรที่ ๘
  อุชชยสูตร
 [๓๙] ครั้งนั้นแล อุชชยพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับ
พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
ทูลถามว่า แม้พระโคดมผู้เจริญก็กล่าวสรรเสริญยัญของพวกข้าพเจ้าหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า