พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/384/421
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
กล่าวความดับนั้นเลย ภิกษุไม่พึงสำคัญว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา
เสมอเขาหรือเลวกว่าเขา ด้วยความถือตัวนั้นถูกผู้อื่นถามด้วยคุณ
หลายประการ ก็ไม่พึงกำหนดตนตั้งอยู่โดยนัยเป็นต้นว่า เราบวชแล้ว
จากสกุลสูง ภิกษุพึงสงบระงับภายในเทียว ไม่พึงแสวงหาความสงบ
โดยอุบายอย่างอื่นความเห็นว่าตัวตน ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้สงบแล้ว
ณ ภายในอนึ่ง ความเห็นว่าไม่มีตัวตน คือ เห็นว่าขาดสูญ จักมีแต่
ที่ไหน คลื่นไม่เกิดที่ท่ามกลางแห่งสมุทร สมุทรนั้นตั้งอยู่ไม่หวั่นไหว
ฉันใด ภิกษุพึงเป็นผู้มั่นคง ไม่หวั่นไหวในอิฐผลมีลาภเป็นต้น ฉันนั้น
ภิกษุไม่พึงกระทำกิเลสเครื่องฟูขึ้นมีราคะเป็นต้น ในอารมณ์ไหนๆ ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุเปิดแล้ว ขอพระองค์ได้ตรัสบอกธรรมที่ทรงเห็น
ด้วยพระองค์เองอันนำเสียซึ่งอันตราย (ขอพระองค์จงมีความเจริญ)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกข้อปฏิบัติ และศีลเครื่อง
ให้ผู้รักษาพ้นจากทุกข์หรือสมาธิเถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ภิกษุไม่พึงเป็นผู้โลเลด้วยจักษุเลย พึงปิดกั้นโสตเสียจากถ้อยคำของชาว
บ้าน (ดิรัจฉานกถา) ไม่พึงกำหนัดยินดีในรสและไม่พึงถือสิ่งอะไรๆ ใน
โลกว่าเป็นของเรา เมื่อตนอันผัสสะถูกต้องแล้ว ในกาลใด ในกาลนั้น
ภิกษุไม่พึงกระทำความร่ำไร ไม่พึงปรารถนาภพในที่ไหนๆ และไม่พึง
หวั่นไหวในเพราะอารมณ์ที่น่ากลัว ภิกษุได้ข้าว น้ำ ของเคี้ยว หรือแม้
ผ้าแล้ว ไม่พึงกระทำการสั่งสมไว้และเมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่พึง
สะดุ้งดิ้นรน พึงเป็นผู้เพ่งฌาน ไม่พึงโลเลด้วยการเที่ยว พึงเว้นจาก
ความคะนอง ไม่พึงประมาทอีกอย่างหนึ่ง ภิกษุพึงอยู่ในที่นั่งและ
ที่นอนอันเงียบเสียง ไม่พึงนอนมาก พึงมีความเพียร เสพความ
เป็นผู้ตื่นอยู่พึงละเสียให้เด็ดขาดซึ่งความเกียจคร้าน ความล่อลวง