พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/383/421

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 383
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า มุนีละอาสวะเบื้องต้น (คือส่วนที่ล่วงแล้ว) เสีย ไม่ทำอาสวะใหม่ (คือส่วนที่เป็นปัจจุบัน) ไม่เป็นผู้ลำเอียงเพราะความพอใจ อนึ่ง มุนีนั้น จะเป็นผู้ยึดมั่นกล่าวก็หาไม่ มุนีนั้นเป็นนักปราชญ์ หลุดพ้นแล้วจากทิฐิ ทั้งหลาย ไม่ติเตียนตน ไม่ติดอยู่ในโลก ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มุนีนั้น เป็นผู้ไม่มีมารและเสนามารในธรรมทั้งปวง คืออารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว หรือได้ทราบแล้ว ปลงภาระ ลงแล้ว หลุดพ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีเครื่องกำหนด ไม่เข้าไปยินดี ไม่มี ความปรารถนา ฉะนี้แล ฯ จบมหาวิยูหสูตรที่ ๑๓ ตุวฏกสูตรที่ ๑๔ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[๔๒๑] ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระทิตย์ ผู้สงัด และมีความสงบเป็นที่ตั้ง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ภิกษุเห็นอย่างไรจึงไม่ ถือมั่นธรรมอะไรๆ ในโลก ย่อมดับ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงปิดกั้นเสียซึ่งธรรมทั้งปวง อันเป็นรากเง่าแห่งส่วนของธรรมเป็น เครื่องยังสัตว์ให้เนิ่นช้าซึ่งเป็นไปอยู่ว่า เป็นเราด้วยปัญญา ตัณหา อย่างใดอย่างหนึ่งพึงบังเกิดขึ้น ณ ภายในภิกษุพึงเป็นผู้มีสติศึกษาทุกเมื่อ เพื่อปราบตัณหาเหล่านั้นภิกษุพึงรู้ยิ่งธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ ภายใน หรือภายนอกไม่พึงกระทำความถือตัวด้วยธรรมนั้น สัตบุรุษทั้งหลายไม่