พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/382/420
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
เดียรถีย์บางพวกกล่าวอยู่ว่า เรารู้ เราเห็น สิ่งที่เรารู้เราเห็นนี้ เป็นอย่าง
นั้นแล ดังนี้ จึงเชื่อความบริสุทธิ์ด้วยทิฐิถ้าว่าเดียรถีย์ได้เห็นแล้วไซร้
ประโยชน์อะไรเล่าด้วยความเห็นนั้นแก่ตน เพราะว่าเดียรถีย์ทั้งหลาย
ก้าวล่วงอริยมรรคเสียแล้วย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยธรรมอย่างอื่น ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
นรชนเมื่อเห็นย่อมเห็นนามรูป และครั้นเห็นแล้วจักรู้ทั่วถึงนามรูป
เหล่านั้นทีเดียว โดยความเป็นของเที่ยง และโดยความเป็นสุข นรชน
นั้น จะเห็นนามรูปมากหรือน้อยโดยความเป็นของเที่ยงและเป็นสุข
ก็จริง ถึงกระนั้น ผู้ฉลาดทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวความบริสุทธิ์ด้วย
ความเห็นนั้นเลย ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนผู้ทำทิฐิที่ตนกำหนดไว้ในเบื้องหน้า มีปรกติกล่าวตามความมั่นใจ
ไม่ใช่เป็นผู้อันบุคคลอื่นพึงจะแนะนำได้ง่ายเลย ผู้นั้นอาศัยครูคนใดแล้ว
ก็เป็นผู้กล่าวความดีงามในครูคนนั้น ผู้นั้นเป็นผู้กล่าวความบริสุทธิ์
ได้เห็นความถ่องแท้ในทิฐิของตน ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
พราหมณ์รู้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเครื่องกำหนด คือ ตัณหาและทิฐิ
ไม่แล่นไปด้วยทิฐิ และไม่มีตัณหาทิฐิเครื่องผูกพันด้วยญาณ อนึ่ง
พราหมณ์นั้น ได้รู้สมบัติ คือ ทิฐิทั้งหลายเป็นอันมากแล้ววางเฉย
ชนเหล่าอื่นย่อมยึดถือทิฐิเหล่านั้น ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
มุนีในโลกนี้ สละกิเลสเครื่องร้อยรัดเสียแล้ว เมื่อผู้อื่นเกิดวิวาทกัน
ก็ไม่แล่นไปเข้าพวกเขา มุนีนั้นเป็นผู้สงบเมื่อผู้อื่นไม่สงบ ก็เป็นผู้มี
อุเบกขาอยู่ ท่านไม่มีการยึดถือชนเหล่าอื่นย่อมยึดถือ ฯ