พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/379/420

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 379
โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หา กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อ มั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นใน ลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่น ว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้ แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิต ศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละ การวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก ฉะนี้แล ฯ จบจูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒ มหาวิยูหสูตรที่ ๑๓ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[๔๒๐] บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งถือมั่นอยู่ในทิฐิ ย่อมโต้เถียงวิวาทกันว่า สิ่งนี้ เท่านั้นจริง บุคคลทั้งหมดนั้น ย่อมนำความนินทามาเนืองๆ หรือย่อม ได้ความสรรเสริญในที่นั้นบ้าง ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลเหล่านั้นบางคราวได้ความสรรเสริญบ้าง ผลคือความสรรเสริญนั้น น้อยนัก ไม่พอแก่ความสงบ เราย่อมกล่าวผลแห่งความวิวาทกัน ๒ ประการ คือ ความนินทาและความสรรเสริญ บัณฑิตเห็นโทษในผล แห่งการวิวาทแม้นี้แล้วเห็นนิพพานมิใช่ภูมิแห่งการวิวาท ว่าเป็นธรรม เกษม ไม่พึงวิวาทกัน ฯ