พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/379/791 792
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า โคตัวนี้ ประกอบด้วยหนังผืนนี้ เหมือนอย่างเดิมนั้นเอง ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย
คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้กล่าวนั้น ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล ฯ
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า ฯ
น. นั่นเพราะเหตุไร ฯ
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ ฉลาดโน้น
ฆ่าโคแล้ว ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค แยกส่วนเนื้อข้างใน แยกส่วนหนังข้างนอกไว้
ในส่วนเนื้อนั้น ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง ก็ใช้มีด
แล่โคอันคมเถือ แล่ คว้านส่วนนั้นๆ ครั้นแล้วคลี่ส่วนหนังข้างนอกออก เอาปิดโคนั้นไว้
แม้เขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า โคตัว นี้ประกอบด้วยหนังผืนนี้ เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง ก็จริง
ถึงกระนั้นแล โคนั้นก็แยกกันแล้วจากหนังผืนนั้น ฯ
[๗๙๑] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เราเปรียบอุปมานี้เพื่อให้เข้าใจเนื้อความชัด เนื้อ
ความในอุปมานั้น มีดังต่อไปนี้ ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ข้อว่าส่วนเนื้อข้างในนั้น เป็นชื่อของ
อายตนะภายใน ๖ ส่วนหนังข้างนอกนั้น เป็นชื่อของอายตนะภายนอก ๖ เนื้อล่ำในระหว่าง
เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง นั้นเป็นชื่อของนันทิราคะ มีดแล่โคอันคมนั้น เป็นชื่อ
ของปัญญาอันประเสริฐ ซึ่งใช้เถือ แล่ คว้านกิเลสในระหว่าง สัญโญชน์ในระหว่าง เครื่องผูก
ใน ระหว่างได้ ฯ
[๗๙๒] ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นเหตุ
ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ เหล่านี้มี ๗ อย่างแล ๗ อย่างเป็นไฉน ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย คือ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
(๑) ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป
เพื่อความปลดปล่อย
(๒) ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...
(๓) ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ...
(๔) ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ...
(๕) ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ...