พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/376/419

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 376
บุคคลปฏิบัติแล้วอย่างนี้ รูปจึงไม่มี เพราะว่าธรรมเป็นส่วนแห่งความ เนิ่นช้า มีสัญญาเป็นเหตุ ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า ข้าพระองค์ได้ถามความข้อใดกะพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงความ ข้อนั้นแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอถามความข้ออื่นกะพระองค์ ขอ เชิญพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นเถิดก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต พวกหนึ่งในโลกนี้ ย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ของสัตว์ว่าเป็นยอดด้วยเหตุ เพียงเท่านี้ หรือว่าย่อมกล่าวความบริสุทธิ์อย่างอื่นอันยิ่งไปกว่ารูปสมา บัตินี้ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า)เป็น บัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความบริสุทธิ์ของ สัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดในอนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียง สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคล เจ้าทิฐิเหล่านั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนี นั้นเป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรมโดย ลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่ ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิดบ่อยๆ ฯ จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ จูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[๔๑๙] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้