พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/373/781 782 783      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            เคลือบแคลง  หรือสงสัยว่า  ดวงจันทร์พร่องหรือเต็มหนอ  แต่แท้ที่จริง  ดวงจันทร์ก็ยังพร่องอยู่
ทีเดียว  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุณีเหล่านั้น  ย่อมเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนาของนันทกะ
ทั้งๆ  ที่ยังไม่มีความดำริบริบูรณ์เลย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ในลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคได้
ตรัสกะท่านพระนันทกะว่า  ดูกรนันทกะ  ถ้าเช่นนั้น  วันพรุ่งนี้เธอก็พึงกล่าวสอน  ภิกษุณีเหล่านั้น
ด้วยโอวาทนั้นเหมือนกัน  ท่านพระนันทกะทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ
 [๗๘๑]  ครั้งนั้นแล  ท่านพระนันทกะ  พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว  ถึงเวลาเช้า  จึงนุ่งสบง
ทรงบาตรจีวร  เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี  ครั้นกลับจาก  บิณฑบาต  ภายหลังเวลาอาหาร
แล้ว  เข้าไปยังวิหารราชการามแต่รูปเดียว  ภิกษุณี  เหล่านั้นได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล
 จึงพากันแต่งตั้งอาสนะและตั้งน้ำล้างเท้าไว้  ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้ว
จึงล้างเท้า  แม้ภิกษุณี  เหล่านั้นก็อภิวาทท่านพระนันทกะแล้ว  นั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ฯ
 [๗๘๒]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  ท่านพระนันทกะได้กล่าวดังนี้ว่า  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย
จักต้องมีข้อสอบถามกันแล  ในข้อสอบถามนั้น  น้องหญิงทั้งหลายรู้อยู่  พึงตอบว่ารู้  ไม่รู้อยู่
ก็พึงตอบว่าไม่รู้  หรือน้องหญิงรูปใด  มีความเคลือบแคลงสงสัยน้องหญิงรูปนั้น  พึงทวนถาม
ข้าพเจ้าในเรื่องนั้นว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ข้อนี้เป็นอย่างไร  ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไรเถิด  ฯ
	ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  พวกดิฉันย่อมพอใจ  ยินดีต่อพระผู้เป็น
เจ้านันทกะ  ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะปวารณาแก่พวกดิฉันเช่นนี้  ฯ
 [๗๘๓]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  จักษุเที่ยง
หรือไม่เที่ยง  ฯ
	ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯ
	น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข  ฯ
	ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า  ฯ
	น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็น
สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา  ฯ
	ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า  ฯ
	น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  โสตเที่ยงหรือ
ไม่เที่ยง  ฯ