พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/372/417

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 372
ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา ชนเหล่าใดยึดถือกาม สัญญาและทิฐิ ชนเหล่านั้นกระทบกระทั่งกันและกันเที่ยวไปอยู่ใน โลก ฯ จบมาคันทิยสูตรที่ ๙ ปุราเภทสูตรที่ ๑๐ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[๔๑๗] บุคคลผู้มีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร บัณฑิตจึงกล่าวว่าเป็นผู้สงบ ท่านพระโคดมพระองค์ผู้อันข้าพระองค์ถามแล้วขอจงตรัสบอกนระผู้ สูงสุดแก่ข้าพเจ้าเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ฯ ผู้ใดปราศจากตัณหาก่อนแต่สรีระแตก เป็นผู้ไม่อาศัย (กาลอันเป็นอดีต อนาคต) เบื้องต้นและเบื้องปลาย อันใครๆ จะพึงนับว่า เป็นผู้ยินดี แล้วใน (กาลอันเป็นปัจจุบัน) ท่ามกลางไม่ได้ ความมุ่งหวังของผู้นั้น ย่อมไม่มี เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นผู้สงบ ผู้ใดไม่โกรธ ไม่สะดุ้ง ไม่ โอ้อวด ไม่คะนองพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ผู้นั้นแล เป็นมุนีผู้ สำรวมแล้วด้วยวาจา ผู้ใดไม่ทะเยอทะยานในสิ่งที่ยังไม่มาถึง ไม่ เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว เป็นผู้มีปรกติเห็นความสงัดในผัสสะ อัน ใครๆ จะนำไปในทิฐิทั้งหลายไม่ได้เลย ผู้ใดปราศจากกิเลส ไม่หลอก ลวง มีปรกติไม่ทะเยอะทะยานไม่ตระหนี่ ไม่คะนอง ไม่เป็นที่เกลียดชัง ไม่ประกอบในคำส่อเสียด เว้นจากความเชยชมในกามคุณอันเป็นวัตถุ น่ายินดี ทั้งไม่ประกอบในการดูหมิ่น เป็นผู้ละเอียดอ่อน มีปฏิภาณ ไม่เชื่อต่อใครๆ ไม่กำหนัดยินดี ไม่ศึกษา เพราะใคร่ลาภ ไม่โกรธ เคืองในเพราะความไม่มีลาภ และเป็นผู้ไม่พิโรธ ไม่ยินดีในรสด้วย ตัณหา เป็นผู้วางเฉย มีสติทุกเมื่อ ไม่สำคัญตัวว่าเสมอเขา ว่าวิเศษ