พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/371/416
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
การฟัง จากการรู้ จากศีลและพรตข้าพระองค์ย่อมสำคัญธรรมเป็นที่
งงงวย ทีเดียวด้วยว่า ชนบางพวกยังเชื่อความบริสุทธิ์ด้วยการเห็น ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาคันทิยะ
ก็ท่านอาศัยการเห็นถามอยู่บ่อยๆ ได้ถึงความหลงใหลไปในทิฐิที่ท่าน
ยึดมั่นแล้ว และท่านก็ไม่ได้เห็นสัญญาแม้แต่น้อยแต่ความสงบ ณ
ภายในที่เรากล่าวแล้วนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงตั้งอยู่โดยความเป็นผู้หลง
ผู้ใดย่อมสำคัญด้วยมานะหรือด้วยทิฐิว่า เราเป็นผู้เสมอเขาวิเศษกว่าเขา
หรือเลวกว่าเขา ผู้นั้นพึงวิวาท เพราะมานะหรือทิฐินั้น ผู้ใดไม่หวั่นไหว
ในการถือตัวว่า เสมอเขา วิเศษกว่าเขาดังนี้เป็นต้น ผู้นั้นย่อมไม่มี
การวิวาท บุคคลผู้มีมานะและทิฐิอันละได้แล้วนั้นชื่อว่าเป็นพราหมณ์
จะพึงกล่าวอะไรว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริงหรือจะพึงวิวาทเพราะมานะหรือ
ทิฐิอะไรว่า ของเราจริง ของท่านเท็จ อนึ่ง ความสำคัญว่าเสมอเขา
หรือว่าไม่เสมอเขาย่อมไม่มีในผู้ใด ผู้นั้นจะพึงโต้ตอบวาทะกับใครๆ
มุนีละอาลัยได้แล้ว ไม่ระลึกถึงอารมณ์เครื่องกำหนดหมาย ไม่กระทำ
ความสนิทสนมในชาวบ้าน เป็นผู้สงัดจากกามทั้งหลาย ไม่ทำอัตภาพ
ให้เกิดต่อไป ไม่พึงกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกับคนบุคคลผู้ประเสริฐ
สงัดแล้วจากธรรมมีทิฐิเป็นต้นเหล่าใดพึงเที่ยวไปในโลก ไม่พึงถือ
เอาธรรมมีทิฐิเป็นต้นเหล่านั้นขึ้นกล่าว มุนีผู้มีถ้อยคำสงบ ไม่กำหนัด
ยินดี ไม่ติดอยู่ในกามและในโลก เหมือนดอกปทุม มีก้านเป็นหนาม
เกิดในน้ำโคลนตม ไม่ติดอยู่ด้วยน้ำและโคลนตม ฉะนั้น บุคคลผู้ถึงเวท
คือมรรค ๔ เป็นผู้ไม่ดำเนินไปด้วยทิฐิ บุคคลนั้นไม่กลับมาสู่มานะ
ด้วยการทราบ อันต่างด้วยอารมณ์ มีรูปที่ได้ทราบแล้วเป็นต้น บุคคล
นั้นไม่เป็นผู้สำเร็จแล้วด้วยตัณหามานะ และทิฐินั้น บุคคลนั้น
แม้กรรมและสุตะพึงนำไปไม่ได้ บุคคลนั้นอันสิ่งใดสิ่งหนึ่งน้อมนำเข้า
ไปไม่ได้แล้วในนิเวศน์ คือ ตัณหาและทิฐิ กิเลสเครื่องร้อยรัด
ทั้งหลายย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้คลายสัญญาได้แล้ว ความหลงทั้งหลาย