พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/370/773 774 775
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
[๗๗๓] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะภายในเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม
เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตามเวทนานั้น เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวน
ไปเป็นธรรมดาบุคคลผู้กล่าวอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล ฯ
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า ฯ
น. นั่นเพราะเหตุไร ฯ
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ อาศัยปัจจัยที่เกิด
แต่อายตนะภายในนั้นๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ ดับ
เวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ จึงดับไป ฯ
น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญาชอบ ตาม
ความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล ฯ
[๗๗๔] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ มีรากก็ไม่
เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใด
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดาแต่
ว่าเงาของต้นไม้นั้นแล เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวน ไปเป็นธรรมดา ผู้ที่
กล่าวอยู่นั้นชื่อว่าพึงกล่าวชอบหรือหนอแล ฯ
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า ฯ
น. นั่นเพราะเหตุไร ฯ
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น มีรากก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาของต้นไม้ ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน ฯ
[๗๗๕] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใดพึง กล่าวอย่างนี้ว่า
อายตนะภายนอก ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะภาย นอกเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม