พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/37/39
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ข้าพระองค์คิดว่า เราจะเที่ยวไปบิณฑบาต
ในพระนครสาวัตถีก็ยังเช้านัก อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปยังอารามของพวกอัญญเดียรถีย์
ปริพาชกลำดับนั้น ข้าพระองค์เข้าไปยังอารามของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้สนทนาปราศรัย
กับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกกำลังนั่งประชุมสนทนากันว่า ท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ท่านผู้ใดผู้หนึ่งประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบ ๑๒ ปี ควรเรียกว่า ภิกษุผู้
นิททสะ แต่ข้าพระองค์ไม่ยินดี ไม่คัดค้านคำกล่าวของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น
ครั้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไปด้วยตั้งใจว่า เราจะรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของ
พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจหรือหนอ เพื่อทรงบัญญัติภิกษุผู้นิททสะ
ด้วยเหตุเพียงการนับพรรษาอย่างเดียว ในธรรมวินัยนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร จะไม่มีใครๆ อาจเพื่อบัญญัติ ภิกษุผู้นิททสะ
ด้วยเหตุเพียงนับพรรษาอย่างเดียว ในธรรมวินัยนี้ ดูกรสารีบุตรวัตถุแห่งนิททสะ ๗ ประการนี้
เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ประกาศแล้ว ๗ ประการเป็นไฉน ดูกรสารีบุตร ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีฉันทะกล้าในการสมาทานสิกขา และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการสมาทาน
สิกขาต่อไป ๑มีฉันทะกล้าในการฟังธรรม และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการฟังธรรมต่อไป ๑
มีฉันทะกล้าในการกำจัดความอยาก และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการกำจัดความอยากต่อไป ๑
มีฉันทะกล้าในการหลีกออกเร้น และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการหลีกออกเร้นต่อไป ๑ มีฉันทะ
กล้าในการปรารภความเพียร และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการปรารภความเพียรต่อไป ๑ มีฉันทะ
กล้าในสติเครื่องรักษาตัว และมีความรักอย่างลึกซึ้งในสติเครื่องรักษาตัวต่อไป ๑ มีฉันทะกล้า
ในการแทงตลอดด้วยทิฐิ และมีความรักอย่างลึกซึ้งในการแทงตลอดด้วยทิฐิต่อไป ๑ ดูกร
สารีบุตรวัตถุแห่งนิททสะ ๗ ประการนี้แล เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ประกาศแล้ว
ดูกรสารีบุตร ภิกษุผู้ประกอบด้วยวัตถุแห่งนิททสะ ๗ ประการนี้แล ถ้าประพฤติพรหมจรรย์
บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบ ๑๒ ปี ก็ควรจะเรียกได้ว่า ภิกษุผู้นิททสะ ถ้าประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์
บริบูรณ์ครบ ๒๔ ปี ก็ดี ... ๓๖ ปีก็ดี ...๔๘ ปีก็ดี ก็ควรจะเรียกได้ว่า ภิกษุผู้นิททสะ ฯ
จบสูตรที่ ๑๑