พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/368/415
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
มุนีผู้สงัดแล้วเที่ยวไปอยู่ ผู้ไม่มีความห่วงใยในกามทั้งหลาย ผู้ข้ามโอฆะ
ได้แล้ว ฉะนี้แล ฯ
จบติสสเมตเตยยสูตรที่ ๗
ปสูรสูตรที่ ๘
[๔๑๕] สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยทิฐิ ย่อมกล่าวว่า
ความบริสุทธิ์ว่ามีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้น ไม่กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม
เหล่าอื่น สมณพราหมณ์เป็นอันมาก กล่าวความดีงามในศาสดา
ของตนเป็นต้นที่ตนอาศัยแล้ว ถือมั่นอยู่ในสัจจะเฉพาะอย่าง (มีคำว่า
โลกเที่ยงเป็นต้น) สมณพราหมณ์เจ้าทิฐิ ๒ พวกนั้น ประสงค์จะกล่าว
โต้ตอบกัน เข้าไปสู่บริษัทแล้ว ย่อมโต้เถียงกันและกันว่าเป็นคนเขลา
สมณพราหมณ์เหล่านั้นต้องการแต่ความสรรเสริญ เป็นผู้มีความสำคัญว่า
เราทั้งหลายเป็นคนฉลาดอาศัยศาสดาของกันและกันเป็นต้นแล้ว ย่อม
กล่าวคำทะเลาะกัน บุคคลปรารถนาแต่ความสรรเสริญ ขวนขวาย
หาถ้อยคำวิวาท กระทบกระเทียบกันในท่ามกลางบริษัท แต่กลับเป็น
ผู้เก้อเขินในเพราะวาทะอันผู้ตัดสินปัญหาไม่ทำให้เลื่อมใส บุคคลนั้น
เป็นผู้แสวงหาโทษ ย่อมโกรธเพราะความนินทา ผู้พิจารณาปัญหาทั้งหลาย
กล่าววาทะใดของบุคคลนั้นอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้วว่าเป็นวาทะเสื่อม
สิ้น บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมแล้วนั้น ย่อมคร่ำครวญเศร้าโศก ทอดถอน
ใจว่า ท่านผู้นี้กล่าวสูงเกินเราไป ความวิวาทเหล่านี้เกิดแล้วในพวก
สมณะ ความกระทบกระทั่งกันย่อมมีในเพราะวาทะเหล่านี้ บุคคล
เห็นโทษแม้นี้แล้ว พึงเว้นความทะเลาะกันเสีย ความสรรเสริญและลาภ
ย่อมไม่มีเป็นอย่างอื่นไปเลย ก็หรือบุคคลนั้นกล่าววาทะในท่ามกลาง
บริษัท เป็นผู้อันบุคคลสรรเสริญแล้วในเพราะทิฐินั้น ย่อมรื่นเริงใจ
สูงขึ้นเพราะต้องการชัยชนะและมานะนั้นได้ถึงความต้องการชัยชนะนั้น