พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/364/412      
      สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
      
     
 
    
        
          
            	ดีและเลว ส่วนพระขีณาสพผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดินผู้มีความรู้แจ้ง
	ตรัสรู้ธรรมด้วยเวทคือมรรคญาณ ย่อมไม่ไปเลือกหาศาสดาดีและเลว
	พระขีณาสพนั้นครอบงำมารและเสนาในธรรมทั้งปวง คืออารมณ์อย่างใด
	อย่างหนึ่งที่ได้เห็น ได้ฟัง หรือได้ทราบ ใครๆ จะพึงกำหนด
	พระขีณาสพผู้บริสุทธิ์ ผู้เห็นความบริสุทธิ์ เป็นผู้มีหลังคาคือกิเลส
	อันเปิดแล้ว ผู้เที่ยวไปอยู่ ด้วยการกำหนดด้วยตัณหาและทิฐิอะไรใน
	โลกนี้ พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่กำหนดด้วยตัณหาหรือด้วยทิฐิ
	ย่อมไม่กระทำตัณหาและทิฐิไว้ในเบื้องหน้า พระขีณาสพเหล่านั้น
	ย่อมไม่กล่าวว่า ความบริสุทธิ์ล่วงส่วนด้วยอกิริยาทิฐิและสัสสตทิฐิ
	ท่านสละกิเลสเครื่องยึดมั่นและเครื่องร้อยรัดอันเนื่องอยู่ในจิตสันดาน
	ได้แล้วย่อมไม่กระทำความหวังในโลกไหนๆ พราหมณ์ผู้ล่วงแดนกิเลส
	ได้ไม่มีความยึดถือวัตถุหรืออารมณ์อะไร เพราะได้รู้หรือเพราะได้เห็น
	เป็นผู้ไม่มีความยินดีด้วยราคะ เป็นผู้ปราศจากราคะไม่กำหนัดแล้ว
	พราหมณ์นั้น ไม่มีความยึดถือวัตถุและอารมณ์อะไรๆ ว่าสิ่งนี้เป็นของ
	ยิ่งในโลกนี้ ฉะนี้แล ฯ
	จบสุทธัฏฐกสูตรที่ ๔
	ปรมัฏฐกสูตรที่ ๕
 [๔๑๒] บุคคลในโลกยึดถือในทิฐิทั้งหลายว่า สิ่งนี้เป็นอย่างยิ่งย่อมกระทำ
	ศาสดาเป็นต้นของตนให้เป็นผู้ประเสริฐ กล่าวผู้อื่นนอกจากศาสดา
	เป็นต้นของตนนั้นว่า เลวทั้งหมด เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจึงไม่ล่วง
	พ้นความวิวาทไปได้ บุคคลนั้นเห็นอานิสงส์อันใดในตนกล่าวคือ ทิฐิ
	ที่เกิดขึ้นในสิ่งเหล่านี้คือ ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง ศีล พรต
	หรืออารมณ์ที่ได้ทราบ บุคคลนั้นยึดมั่นอานิสงส์ในทิฐิของตนนั้น
	แลว่าประเสริฐที่สุด เห็นศาสดาอื่นทั้งหมดโดยความเป็นคนเลวอนึ่ง