พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/348/329
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
ดูกรอานนท์ บุคคลมีชาติขาว ประพฤติธรรมขาวอย่างนี้แล ฯ
ดูกรอานนท์ ก็บุคคลผู้มีชาติขาว บรรลุนิพพานอันไม่ดำไม่ขาว เป็นอย่างไร คือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดในสกุลสูง ฯลฯ เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออก
บวชเป็นบรรพชิต เขาบวชแล้วอย่างนี้ ละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำ
ปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตตั้งอยู่ด้วยดีในสติปัฏฐานทั้ง ๔ เจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง
แล้วได้บรรลุนิพพานที่ไม่ดำ ไม่ขาว ดูกรอานนท์ บุคคลมีชาติขาว บรรลุนิพพานอันไม่ดำ ไม่ขาว
อย่างนี้แล ดูกรอานนท์ ชาติ ๖ นี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๓
๔. อาสวสูตร
[๓๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรของ
คำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ อาสวะเหล่าใด อันภิกษุในธรรมวินัยนี้
พึงละด้วยการสำรวมอาสวะเหล่านั้นเป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการสำรวม ๑ อาสวะเหล่าใดอัน
ภิกษุพึงละด้วยการซ่องเสพ อาสวะเหล่านั้นเป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการซ่องเสพ ๑ อาสวะ
เหล่าใดอันภิกษุพึงละด้วยการอดทน อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการอดทน ๑
อาสวะเหล่าใดอันภิกษุพึงละด้วยการหลีกเลี่ยงอาสวะเหล่านั้นเป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการ
หลีกเลี่ยง ๑ อาสวะเหล่าใดอันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา อาสวะเหล่านั้นเป็นอันภิกษุละได้แล้ว
ด้วยการบรรเทา ๑อาสวะเหล่าใด อันภิกษุพึงละด้วยภาวนา อาสวะเหล่านั้นเป็นอันภิกษุละได้
แล้วด้วยภาวนา ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการสำรวม ที่เป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วย
การสำรวมเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยการ
สำรวมจักขุนทรีย์ ซึ่งเมื่อเธอไม่สำรวม พึงเป็นเหตุให้อาสวะที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อน
เกิดขึ้น เมื่อเธอสำรวมอยู่อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ ด้วย