พระสุตตันตปิฎกไทย: 21/34/34      
      สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
      
     
 
    
        
          
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้แล เป็นผู้มีศักดานุภาพยิ่งใหญ่อย่างนี้ กว่าโลก
ทั้งเทวโลก ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
      พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดา หาบุคคลเปรียบมิได้ ตรัสรู้
      แล้ว ทรงประกาศธรรมจักรแก่โลกทั้งเทวโลก ทรงแสดง
      ธรรมคือสักกายะ ได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความ
      ดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันมีปรกติ
      ยังสัตว์ให้ถึงความระงับทุกข์ ฉันใด เทวดาผู้มีอายุยืนแม้
      เหล่าใด มีรัศมี มียศ เป็นผู้กลัวถึงความสะดุ้ง ดุจ
      มฤคที่กลัวต่อราชสีห์ ก็ฉันนั้น เทวดาเหล่านั้น เป็นผู้
      ก้าวล่วงสักกายะเพราะสดับถ้อยคำของพระอรหันต์ ผู้
      หลุดพ้นผู้คงที่ว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า พวกเราไม่เที่ยง ฯ
                จบสูตรที่ ๓
                ปสาทสูตร
 [๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเท้าก็ตาม ๒ เท้าก็ตาม๔ เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตาม มีรูป
หรือไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ตาม มีประมาณ
เพียงใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันชาวโลกกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ชนเหล่าใด
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้
เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด อริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอริยมรรคอันประกอบด้วย
องค์ ๘ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด วิราคะคือ ธรรมอันย่ำยี
ความเมา ธรรมเครื่องกำจัดความกระหาย ความถอนเสียซึ่งความอาลัย ความเข้าไปตัดวัฏฏะ ธรรม
เป็นที่สิ้นตัณหา ความคลายกำหนัดความดับ นิพพาน เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชน
เหล่าใดเลื่อมใสในวิราคะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชน