พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/337/325

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เล่ม 22
หน้า 337
ธ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรพราหมณ์ธรรมิกะ ผู้ใดมีจิตประทุษร้าย พึงด่า บริภาษ ท่านศาสดาจารย์ ทั้ง ๖ นั้น ผู้เป็นเจ้าลัทธิ ผู้ปราศจากความกำหนัดในกามทั้งหลายมีบริวารหลายร้อยคน พร้อมทั้งหมู่สาวก ผู้นั้นพึงประสพสิ่งที่ไม่เป็นบุญมากผู้ใดมีจิตประทุษร้าย ย่อมด่า บริภาษ บุคคลผู้มีทิฐิสมบูรณ์คนเดียว ผู้นี้ย่อมประสพสิ่งที่ไม่เป็นบุญมากกว่าผู้ด่าว่าบริภาษท่านศาสดา จารย์ทั้ง ๖ นั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราหากล่าวการขุดโค่นคุณความดีของตนภายนอก ศาสนานี้เหมือนการด่าว่าบริภาษในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกันนี้ไม่ ดูกรพราหมณ์ ธรรมิกะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่ประทุษร้ายในท่านผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกันของตน ดูกรพราหมณ์ธรรมิกะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ ได้มีท่านศาสดาจารย์ชื่อสุเนตตะ ชื่อมูคปักขะ ชื่ออรเนมิชื่อกุททาลกะ ชื่อหัตถิปาละ และได้มีพราหมณ์ปุโรหิตของพระราชาถึง ๗ พระองค์ เป็น เจ้าแห่งโค เป็นศาสดาจารย์ชื่อโชติปาละ ท่านศาสดาจารย์ผู้มียศเป็น ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นเจ้าลัทธิในอดีต ท่านเหล่านั้นได้เป็นผู้หมดกลิ่นสาป คือ ความโกรธ มุ่งมั่นในกรุณา ผ่านพ้นกามสังโยชน์คลายกามราคะ เสียได้ เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก สาวกของท่านเหล่านั้นแม้หลายร้อย ได้เป็นผู้หมดกลิ่นสาป คือความโกรธ มุ่งมั่นในกรุณา ผ่านพ้นกาม สังโยชน์ คลายกามราคะเสียได้ ก็เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก นรชนใดมี ความดำริทางใจประทุษร้าย ย่อมด่าบริภาษท่านเหล่านั้น ผู้เป็นฤาษี ผู้เป็นนักบวชนอกศาสนา ปราศจากความกำหนัด มีจิตตั้งมั่นก็นรชน เช่นนั้นย่อมประสพสิ่งที่ไม่เป็นบุญมาก ส่วนนรชนใดมีความดำริทางใจ ประทุษร้าย ย่อมด่า บริภาษภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้มีทิฐิ สมบูรณ์รูปเดียว นรชนผู้นี้ย่อมประสพสิ่งที่ไม่เป็นบุญมากกว่าผู้ด่าว่า บริภาษท่านศาสดาจารย์เหล่านั้น นรชนไม่พึงเสียดสีท่านผู้มีความดี ผู้ละ ทิฐิบุคคลใดเป็นผู้มีอินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา สติ วิริยะ สมถะ และ วิปัสสนาอ่อน บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม เรา