พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/326/231
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
จิตของเธอไม่เจือด้วยรูปเหล่านั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อมพิจารณาเห็น
ความเสื่อมไปแห่งรูปนั้น ถึงแม้เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ
รสที่พึงจะรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองใจแห่งภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ธรรมารมณ์นั้นก็ครอบงำ
จิตของเธอไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วยธรรมารมณ์นั้นเป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอ
ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งธรรมารมณ์นั้น ดูกรอาวุโส เปรียบเหมือนเสาหิน ยาว ๑๖
ศอก หยั่งลงไป ในหลุม ๘ ศอก ข้างบนหลุม ๘ ศอก ถึงแม้ลมพายุอย่างแรงพัดมาทางทิศบูรพา
เสาหินนั้นไม่พึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ถึงแม้ลมพายุอย่างแรงพัดมาทางทิศประจิม ทิศอุดร
ทิศทักษิณ เสาหินนั้นก็ไม่พึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหวข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหลุมลึก
และเพราะเสาหินฝังลึก ฉันใด ดูกรอาวุโสฉันนั้นเหมือนกันแล ถึงแม้รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
อย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองจักษุแห่งภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ ก็ครอบงำจิตของเธอ
ไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วยรูปเหล่านั้น เป็นจิตมั่นถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อมพิจารณา
เห็นความเสื่อมไปแห่งรูปนั้น ถึงแม้เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ
รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ฯลฯธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อย่างหยาบๆ ผ่านมาทางคลองใจแห่งภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้ ก็ครอบงำจิตของเธอ
ไม่ได้ จิตของเธอไม่เจือด้วยธรรมารมณ์นั้น เป็นจิตมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และเธอย่อมพิจารณา
เห็นความเสื่อมไปแห่งธรรมารมณ์นั้น ฯ
จบสูตรที่ ๖
เวรสูตรที่ ๑
[๒๓๑] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี ในกาลใดแล อริยสาวกสงบระงับภัยเวร ๕ ประการ และประกอบด้วย โสตา