พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/325/369
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
คือ กะเปาะฟองที่เป็นของทิพย์ กะเปาะฟองของมนุษย์ และกะเปาะ
ฟองของพรหมแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเง้าแห่ง
กะเปาะฟองทั้งหมด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า
เป็นผู้ฉลาด ผู้ใดพิจารณาอายตนะทั้งสองคือ อายตนะภายในและ
ภายนอกแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอันบริสุทธิ์ ก้าวล่วงธรรมดำและธรรมขาว
ได้แล้ว ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นบัณฑิต
ผู้ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษในโลกทั้งปวง คือ ในภายใน
และภายนอก แล้วดำรงอยู่ ผู้นั้นอันเทวดาและมนุษย์บูชา ล่วงธรรม
เป็นเครื่องข้องและข่าย คือ ตัณหาและทิฐิแล้ว ท่านผู้รู้ทั้งหลาย
กล่าวว่าเป็นมุนี ฯ
[๓๖๙] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคว่า
บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ถึงเวท กล่าวบุคคลว่าผู้รู้ตาม
ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลผู้มีความเพียร ด้วยอาการอย่างไร
และบุคคลบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ชื่อว่าอาชาไนยด้วยอาการอย่างไร
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัส
พยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ
ผู้ใดพิจารณาเวททั้งสิ้น อันเป็นของมีอยู่แห่งสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย
ปราศจากความกำหนัดในเวทนาทั้งปวงผู้นั้นล่วงเวททั้งหมดแล้ว
บัณฑิตกล่าวว่าผู้ถึงเวท ผู้ใดใคร่ครวญธรรมอันเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้า
และนามรูปอันเป็นรากเง่าแห่งโรค ทั้งภายในทั้งภายนอกแล้ว เป็นผู้
หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งโรคทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปานนั้น
ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้ตาม ผู้ใดงดเว้นจากบาปทั้งหมดล่วงความทุกข์
ในนรกได้แล้ว ดำรงอยู่ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้มีความเพียร ผู้นั้นมี
ความแกล้วกล้า มีความเพียร ผู้คงที่เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็น
นักปราชญ์ ผู้ใดตัดเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้อง