พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/32/33
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกำลัง ย่อมเจริญแก่
บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมที่เลิศ เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศคือ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
ผู้เลิศ ผู้เป็นทักขิเณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมที่เลิศ อัน
ปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไปสงบ เป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ
เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทานในสิ่งที่เลิศ ปราชญ์ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ ให้
สิ่งที่เลิศ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึงสถานที่เลิศ บันเทิงใจอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๒
๓.อุคคหสูตร
[๓๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ชาติยาวัน ใกล้เมืองภัททิยะ ฯ ครั้งนั้น
แล ท่านอุคคหเศรษฐีผู้เป็นหลานท่านเมณฑกเศรษฐีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่อันควรส่วนข้าง หนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุ ๓ รูปจงทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ ในวันพรุ่งนี้ พระผู้มี
พระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ ท่านอุคคหเศรษฐีทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึง
ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้นแลพอล่วงราตรีนั้นไป เป็นเวลา
เช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วถือบาตรจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของท่านอุคคหเศรษฐี ประทับ
นั่งบนอาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ครั้งนั้น ท่านอุคคหเศรษฐีหลานของเมณฑกเศรษฐี ได้อังคาส
พระผู้มีพระภาคให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีตด้วยมือของตนเอง เมื่อ
ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงเสวยเสร็จแล้ว ทรงลดพระหัตถ์จากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมารีเหล่านี้ของข้าพระองค์ จักไปอยู่สกุลสามี
ขอพระผู้มีพระภาคทรงกล่าวสอน ทรงพร่ำสอนกุมารีเหล่านั้น ซึ่งจะพึงเป็นประโยชน์สุขแก่กุมารี
เหล่านั้นตลอดกาลนาน ฯพระผู้มีพระภาคจึงตรัสสอนกุมารีเหล่านั้นต่อไปดังนี้ว่า ดูกรกุมารี
เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า มารดาบิดาของสามีที่เป็นผู้ปรารถนาประโยชน์
หวังความเกื้อกูลอนุเคราะห์ด้วยความเอ็นดู เราทั้งหลายจักตื่นก่อนท่านนอนทีหลังท่าน คอย
รับใช้ท่าน ประพฤติเป็นที่พอใจท่าน พูดคำเป็นที่รักต่อท่านดูกรกุมารีทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึง