พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/303/433 434 435 436
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๔๓๓] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านรัฐปาละหลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็น
ผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์
ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วย
ปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ท่านพระรัฐปาละได้เป็นพระอรหันต์
รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
[๔๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนา
จะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตกะข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการ
กำหนดใจของท่านพระรัฐปาละด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงทราบชัดว่า รัฐปาลกุลบุตรไม่สามารถ
ที่จะบอกลาสิกขาสึกออกไปแล้ว. ลำดับนั้น จึงตรัสว่า ดูกรรัฐปาละ ท่านจงสำคัญกาลอันควร
ณ บัดนี้เถิด. ท่านพระรัฐปาละลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว
เก็บอาสนะถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางถุลลโกฏฐิตนิคม จาริกไปโดยลำดับ บรรลุถึง
ถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว.
[๔๓๕] ได้ยินว่า ท่านพระรัฐปาละพักอยู่ ณ พระราชอุทยาน ชื่อมิคาจีระ ของพระเจ้า
โกรัพยะ ในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น. ครั้งนั้นเวลาเช้า ท่านพระรัฐปาละนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังถุลลโกฏฐิตนิคม. เมื่อเที่ยวบิณฑบาตในถุลลโกฏฐิตนิคมตามลำดับตรอก ได้เข้า
ไปยังนิเวศน์ของบิดาท่าน สมัยนั้น บิดาของท่านพระรัฐปาละ กำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้ม
ประตูกลาง. ได้เห็นท่านพระรัฐปาละกำลังมาแต่ไกล แล้วได้กล่าวว่า พวกสมณะศีรษะโล้น
เหล่านี้ บวชบุตรคนเดียวผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา. ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละไม่ได้การให้
ไม่ได้คำตอบที่บ้านบิดาของท่าน ที่แท้ได้แต่คำด่าเท่านั้น.
[๔๓๖] สมัยนั้น ทาสีแห่งญาติของท่านพระรัฐปาละปรารถนาจะเอาขนมกุมมาสที่บูด
ไปทิ้ง. ท่านรัฐปาละได้กล่าวกะทาสีของญาตินั้นว่า ดูกรน้องหญิง ถ้าสิ่งนั้นจำต้องทิ้ง