พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/297/212
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ลำดับ มีกิเลสเครื่องประกอบ สัตว์ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้น
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อประพฤติล่วงฐานะ ๙ ประการ คือภิกษุผู้ขีณาสพไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์ ๑ ไม่
ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย ๑ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม ๑
ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้ ๑ ไม่ควรทำการสั่งสมบริโภคกามคุณเหมือนคฤหัสถ์ในกาลก่อน ๑ ไม่ควร
ลุอำนาจฉันทาคติ ๑ ไม่ควรลุอำนาจโทสาคติ ๑ไม่ควรลุอำนาจโมหาคติ ๑ ไม่ควรลุอำนาจ
ภยาคติ ๑ ดูกรสุตวะ ครั้งก่อนและบัดนี้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้ว
โดยลำดับมีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อประพฤติล่วงฐานะ ๙ ประการนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๗
สัชฌสูตร
[๒๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์
ครั้งนั้นแล สัชฌปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์และพระผู้มีพระภาค
อยู่ที่เมืองคิริพชะ ใกล้กรุงราชคฤห์นี้แหละ ณ ที่นั้นแล ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังเฉพาะพระพักตร์
ของพระผู้มีพระภาคว่า ดูกรสัชฌะ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ทำกิจที่ควร
ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้วโดยลำดับมีกิเลสเครื่องประกอบ
สัตว์ไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อประพฤติล่วง
ฐานะ ๕ ประการ คือ ภิกษุผู้ขีณาสพไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้
อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย ๑ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม ๑ ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้ ๑ ไม่ควร
ทำการสั่งสมบริโภคกามคุณเหมือนเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนี้
ข้าพระองค์ฟังมาดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วแลหรือ ฯ