พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/296/211
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย แม้ชนบทและประเทศพึงทราบโดยส่วน ๒
คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้นเราอาศัยอะไรกล่าวแล้วในชนบทและประเทศ ๒
อย่างนั้น พึงรู้ชนบทและประเทศใดว่า เมื่อเราเสพชนบทและประเทศนี้ อกุศลธรรมย่อมเจริญ
กุศลธรรมย่อมเสื่อม ชนบทและประเทศเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ พึงรู้ชนบทและประเทศใดว่า
เมื่อเราเสพชนบทและประเทศนี้ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ชนบทและประเทศ
เห็นปานนี้ควรเสพ คำที่เรากล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย แม้ชนบทและประเทศก็พึงทราบโดย
ส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้นเราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๖
สุตวาสูตร
[๒๑๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์
ครั้งนั้นแล สุตวาปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสมัยหนึ่งข้าพระองค์และพระผู้มีพระภาคอยู่ที่เมือง
คิริพชะ ใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละณ ที่นั้นแล ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังเฉพาะพระพักตร์ผู้มี
พระภาคว่า ดูกรสุตวะภิกษุใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จ
แล้ว ปลงภาระแล้วมีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้วโดยลำดับ มีกิเลสเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ
สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นไม่ควรเพื่อประพฤติล่วงฐานะ ๕ ประการ
คือ ภิกษุผู้ขีณาสพไม่ควรแกล้งฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ควรถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้อันเป็นส่วนแห่ง
ความเป็นขโมย ๑ ไม่ควรเสพเมถุนธรรม ๑ ไม่ควรกล่าวเท็จทั้งรู้ ๑ ไม่ควรทำการสั่งสมบริโภค
กามคุณเหมือนเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนี้ข้าพระองค์ฟังมาดีแล้ว
รับมาดีแล้ว ใส่ใจไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว แลหรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จริงละ คำนี้ท่านสดับมาดีแล้ว รับเอามาดีแล้วใส่ใจไว้ดีแล้ว
ทรงจำไว้ดีแล้ว ดูกรสุตวะ ครั้งก่อนและบัดนี้ เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุใดเป็นอหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้วปลงภาระแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันบรรลุแล้วโดย