พระสุตตันตปิฎกไทย: 16/283/709 710 711 712
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
ชนทั้งหลายย่อมไม่รู้จักคนที่ไม่พูด ว่าเจือด้วยพาลหรือเป็นบัณฑิต
แต่ย่อมรู้จักคนที่พูด ผู้แสดงทางอมฤตอยู่ บุคคลพึงกล่าวธรรม
พึงส่องธรรม พึงประคองธงชัยของฤาษี ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง
ธรรมนั่นเองเป็นธงชัยของพวกฤาษี ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๗
๘. นันทสูตร
[๗๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะผู้เป็นบุตรของพระเจ้าแม่น้าแห่งพระผู้มีพระภาค
ห่มจีวรที่ทุบและกลับทุบแล้ว หยอดนัยน์ตา ถือบาตรมีสีใส เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๗๑๐] ครั้นท่านพระนันทะนั่งเรียบร้อยแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรนันทะ
ข้อที่เธอห่มจีวรที่ทุบและกลับทุบแล้ว หยอดนัยน์ตา และถือบาตรมีสีใส ไม่สมควรแก่เธอผู้เป็น
กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาข้อที่เธอถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้า
บังสุกุลเป็นวัตร และไม่พึงเป็นผู้เพ่งเล็งในกามทั้งหลายอยู่อย่างนี้ จึงสมควรแก่เธอผู้เป็นกุลบุตร
ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ฯ
[๗๑๑] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เมื่อไร เราจะพึงได้เห็นนันทะ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยโภชนะที่เจือปนกันผู้ไม่อาลัยในกามทั้งหลาย
ดังนี้ ฯ
[๗๑๒] ลำดับนั้น ท่านพระนันทะ โดยสมัยต่อมา ได้เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑ
บาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และไม่อาลัยในกามทั้งหลายอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๘