พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/280/313

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 280
เสียทั้งภายในและภายนอก ภิกษุนั้นมีความรู้ชัดในศาสนานี้ ไม่ยินดี แล้วด้วยฉันทราคะ ได้บรรลุอมฤตบท สงบดับไม่จุติ กายนี้มีสองเท้า ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น อันบุคคลบริหารอยู่ เต็มไปด้วยซากศพต่างๆ ถ่ายของไม่สะอาดมีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้นให้ไหลออกจากทวารทั้ง เก้า และขับเหงื่อไคลให้ไหลออกจากขุมขนนั้นๆ ผู้ใดพึงสำคัญเพื่อ ยกย่องตัวหรือพึงดูหมิ่นผู้อื่น จักมีอะไร นอกจากการไม่เห็นอริยสัจ ฯ จบวิชยสูตรที่ ๑๑ มุนีสูตรที่ ๑๒
[๓๑๓] ภัยเกิดแต่ความเชยชม ธุลีคือราคะ โทสะ และโมหะย่อมเกิดแต่ที่อยู่ ที่อันมิใช่ที่อยู่และความไม่เชยชมนี้แลพระพุทธเจ้าผู้เป็นมุนีทรงเห็น (เป็นความเห็นของมุนี)ผู้ใดตัดกิเลสที่เกิดแล้ว ไม่พึงปลูกให้เกิด ขึ้นอีก เมื่อกิเลสนั้นเกิดอยู่ ก็ไม่พึงให้หลั่งไหลเข้าไป บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวผู้นั้นว่าเป็นมุนีเอก เที่ยวไปอยู่ ผู้นั้นเป็นผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ได้เห็นสันติบท ผู้ใดกำหนดรู้ที่ตั้งแห่งกิเลสฆ่าพืชไม่ทำยางแห่งพืช ให้หลั่งไหลเข้าไป ผู้นั้นแลเป็นมุนีมีปรกติเห็นที่สุดแห่งความสิ้นไป แห่งชาติ ละอกุศลวิตกเสียแล้ว ไม่เข้าถึงการนับว่าเป็นเทวดาและ และมนุษย์ ผู้ใดรู้ชัดภพอันเป็นที่อาศัยอยู่ทั้งปวง ไม่ปรารถนาภพอัน เป็นที่อาศัยอยู่เหล่านั้นแม้ภพหนึ่ง ผู้นั้นแลเป็นมุนี ปราศจากกำหนัด ไม่ยินดีแล้ว ไม่ก่อกรรม เป็นผู้ถึงฝั่งโน้นแล้วแล อนึ่งผู้ครอบงำธรรม ได้ทั้งหมด รู้แจ้งธรรมทุกอย่าง มีปัญญาดีไม่เข้าไปติด (ไม่เกี่ยวเกาะ) ในธรรมทั้งปวง ละธรรมได้ทั้งหมด น้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้น ตัณหา นักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี อนึ่ง ผู้มีกำลังคือปัญญา ประกอบด้วยศีลและวัตร มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ หลุดพ้นจาก เครื่องข้อง ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ ไม่มีอาสวะ นักปราชญ์ย่อมประกาศ