พระสุตตันตปิฎกไทย: 16/280/698 699 700
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
สู่วิหารแล้ว เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ ย่อมไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลากระทำจีวร
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุนั้นตาม
คำของเราว่าพระศาสดาให้หา ภิกษุนั้นทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้วเข้าไปหาภิกษุนั้น ครั้น
เข้าไปหาแล้วได้กล่าวกะเธอว่า พระศาสดาตรัสเรียกท่าน เธอรับคำของภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อย
แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะเธอว่า จริงหรือภิกษุ ได้ยินว่าเธอเดินกลับจากบิณฑบาตในเวลา
ปัจฉาภัต เข้าไปสู่วิหารแล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย นิ่งอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายใน
เวลากระทำจีวร ฯ
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็กระทำกิจส่วนตัวเหมือนกัน ฯ
[๖๙๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุนั้นด้วย
พระทัย จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ายกโทษภิกษุนี้เลย ภิกษุนี้
เป็นผู้มีปรกติ ได้ฌาน ๔ อันเป็นสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอันอาศัยอธิจิต ตามความปรารถนา
ไม่ยาก ไม่ลำบาก กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออก
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ
[๖๙๙] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้วจึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปว่า
บุคคลปรารภความเพียรอันย่อหย่อน ปรารภความเพียรด้วย
กำลังน้อย ไม่พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นเครื่องปลดเปลื้อง
กิเลสทั้งปวงได้ แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นอุดมบุรุษ ชำนะมาร
ทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพมีในที่สุด ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔
๕. สุชาตสูตร
[๗๐๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระสุชาตไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯ