พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/279/919 920 921 922
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ประกาศแล้ว เมื่อแตกกายตายลงจึงอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็นสหายของเทวดา
ชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมีและยศ ฯ
[๙๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อจะทรงพลอยยินดีกะพวก
เทวดาชั้นดาวดึงส์ จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
บุคคลใด มีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระตถาคต มีศีลงามที่พระอริยะ
เจ้าพอใจสรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์และมีความเห็นตรง
บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของบุคคลนั้น
ไม่เปล่าประโยชน์เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบเนืองๆ ซึ่งศรัทธา ศีล ความ
เลื่อมใส และความเห็นธรรมเถิด ฯ
รามเณยยกสูตรที่ ๕
[๙๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ทรงถวายบังคมแล้วประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ทรงประทับเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถาม
พระผู้มีพระภาคว่า สถานที่เช่นไรหนอ เป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์ ฯ
[๙๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
อารามอันวิจิตร ป่าอันวิจิตร สระโบกขรณีที่สร้างอย่างดี ย่อมไม่ถึง
เสี้ยวที่ ๑๖ อันแบ่งออก ๑๖ ครั้ง แห่งภูมิสถานอันรื่นรมย์ของมนุษย์
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม เป็นที่ลุ่มหรือ
ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์ ฯ
ยชมานสูตรที่ ๖
[๙๒๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราช
คฤห์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วทรง
ถวายบังคมแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ฯ