พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/279/561 562      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            	มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง...
	มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
	มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
	มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
	มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์ทั้ง  ๒  อย่างที่เป็นปัจจุบัน  ด้วยกัน
แล  เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ  จึงเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น  เมื่อ
เพลิดเพลิน  จึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  อย่างนี้แลชื่อว่า
ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน  ฯ
 [๕๖๑]  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร  คือ
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง  ๒  อย่าง  ที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล  เพราะ
ความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ  จึงไม่เพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น  เมื่อไม่เพลิดเพลิน  จึงชื่อว่า
ไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน
	มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง  ...
	มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
	มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
	มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
	มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์  ทั้ง  ๒  อย่างที่เป็นปัจจุบันด้วย
กันนั้นแล  เพราะความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ  จึงไม่  เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น
เมื่อไม่เพลิดเพลิน  จึงชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  อย่างนี้แล
ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน  ฯ
 [๕๖๒]  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ข้อที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศ  โดยย่อแก่เรา
ทั้งหลายว่า
	บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว  ฯลฯ  พระมุนีผู้สงบย่อม
	เรียกบุคคล...นั้นแลว่า  ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
ดังนี้  มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร  แล้วทรงลุกจากอาสนะ  เสด็จเข้าไป  ยังพระวิหาร
นี้แล  ข้าพเจ้าทราบเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้  ก็แหละท่านทั้งหลายหวังอยู่  พึงเข้าไปเฝ้า