พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/278/915 916 917 918
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๙๑๕] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวนรชนผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา มีปรกติ
ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คำ
สมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัด
ความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้ นั้นแลว่า เป็น
สัปบุรุษ ดังนี้
ทฬิททสูตรที่ ๔
[๙๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน
เขตพระนครราชคฤห์ ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๙๑๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเรื่องเคยมีมาแล้ว
ในพระนครราชคฤห์นี้แล ได้มีบุรุษคนหนึ่งเป็นมนุษย์ขัดสนเป็นมนุษย์กำพร้า เป็นมนุษย์
ยากไร้ เขายึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะปัญญา ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
ครั้นเขายึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะจาคะ ปัญญา ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เมื่อแตก
กายตายไป ได้อุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทพบุตรนั้น
รุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมีและยศ ฯ
[๙๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากัน
ยกโทษตำหนิติเตียนว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์นักดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ยังไม่เคยมีมาเลย เทพบุตรผู้นี้เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์
กำพร้า เป็นมนุษย์ยากไร้ เมื่อแตกกายตายแล้ว เขาอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็น
สหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมีและยศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแลท้าวสักกะจอมเทพตรัสกะเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายอย่ายกโทษต่อเทพบุตรนี้เลย ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เทพบุตรนี้แลเมื่อยังเป็น
มนุษย์อยู่ในกาลก่อน ยึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคต
ทรงประกาศแล้ว ครั้นยึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะจาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคต