พระสุตตันตปิฎกไทย: 16/276/686 687
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
ภิกขุสังยุตต์
๑. โกลิตสูตร
[๖๘๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรท่านผู้มี
อายุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้รับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ฯ
[๖๘๗] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายความปริวิตกแห่ง
ใจได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ผู้เร้นอยู่ในที่ลับอย่างนี้ว่า ที่เรียกว่าดุษณีภาพอันประเสริฐ ดุษณีภาพอัน
ประเสริฐ ดังนี้ ดุษณีภาพอันประเสริฐเป็นไฉนดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ความดำริได้มีแก่เราดังนี้ว่า
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เพราะระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้าสู่ทุติยฌาน เป็นความผ่องใสแห่ง
ใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่นี้เรียกว่าดุษณี
ภาพอันประเสริฐ ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เรานั้น เพราะระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้าสู่
ทุติยฌานเป็นความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข
เกิดแต่สมาธิอยู่ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญาและมนสิการอันประกอบด้วยวิตก ย่อมฟุ้ง
ขึ้น ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาเราด้วยฤทธิ์ตรัสพระ
พุทธพจน์นี้ว่า โมคคัลลานะๆ ผู้เป็นพราหมณ์อย่าประมาทดุษณีภาพอันประเสริฐ เธอจงรวมจิต
ตั้งไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ จงกระทำจิตให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้นในดุษณีภาพอันประเสริฐ จง
ตั้งจิตมั่นไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ สมัยต่อมาเรานั้น เพราะระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้า
สู่ทุติยฌาน เป็นความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ
และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ก็บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ หมายถึงบุคคลใด พึงกล่าวว่าสาวก
ผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความรู้อันยิ่งใหญ่แล้ว บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ
พึงกล่าวหมายถึงเรานั้นว่า สาวกผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความรู้อันยิ่งใหญ่แล้ว
ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑