พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/272/286
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
กว่ามิได้ ส่วนผู้ใดละธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีในบทคือธรรมที่ไม่
เป็นเหตุให้เนิ่นช้าผู้นั้นย่อมได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่น
ยิ่งกว่ามิได้ ฯ
จบสูตรที่ ๔
๕. อนุตัปปิยสูตร
[๒๘๖] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ตายแล้วย่อมเดือดร้อน
ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมเดือดร้อนเป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชอบการงานยินดีการงาน ขวนขวายความชอบการงาน ชอบการคุย ...
ชอบความหลับ ... ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ... ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ... ชอบ
ธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุ
ให้เนิ่นช้า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ตายแล้วย่อมเดือดร้อนอย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีสักกายะไม่ละสักกายะเพื่อทำที่สุด
ทุกข์โดยชอบ ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตาย
แล้วย่อมไม่เดือดร้อน เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการ
งาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน ไม่ชอบการคุย ... ไม่ชอบความหลับ ... ไม่ชอบความคลุกคลี
ด้วยหมู่คณะ ... ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ยินดี
ธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อนอย่างนี้แล
ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์
ต่อไปอีกว่า ฯ