พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/271/285
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ที่เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ชอบการงาน
(นวกรรม)ยินดีการงาน ขวนขวายความเป็นผู้ชอบการงาน ชอบการคุย ยินดีการคุย
ขวนขวายความเป็นผู้ชอบการคุย ชอบความหลับ ยินดีความหลับ ขวนขวายความชอบความ
หลับ ชอบความคลุกคลีหมู่คณะ ยินดีความคลุกคลีหมู่คณะขวนขวายความเป็นผู้ชอบคลุก
คลีหมู่คณะ ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ยินดีความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ขวนขวายความ
ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดย
ประการที่เมื่อสำเร็จการอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ อย่างนี้แล ภิกษุนี้
เรียกว่า ผู้ยินดีสักกายะ (เตภูมิกวัฎ) ไม่ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จ
การอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่
ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน ไม่ชอบการคุย ไม่ยินดีการคุย
ไม่ขวนขวายความชอบการคุย ไม่ชอบความหลับ ไม่ยินดีความหลับ ไม่ขวนขวายความชอบ
ความหลับ ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีความคลุกคลีหมู่คณะ ไม่ขวนขวายความ
ชอบความคลุกคลีหมู่คณะ ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ยินดีความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์
ไม่ขวนขวายความชอบคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ยินดีธรรมที่
เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุ
ย่อมสำเร็จการอยู่โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ
อย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์
ต่อไปอีกว่า ฯ
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
เช่นดังเนื้อ ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่ง