พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/268/535 536 537      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            	    ๒.  อานันทภัทเทกรัตตสูตร  (๑๓๒)
 [๕๓๕]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
	สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ  บิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  ท่านพระอานนท์สนทนากะภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา  ชัก
ชวนให้อาจหาญ  ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรมและกล่าวอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่ง
เจริญ  ฯ
 [๕๓๖]  ครั้นในเวลาเย็น  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ทรงหลีกเร้นเสด็จเข้าไปยัง
อุปัฏฐานศาลา  ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง  ณ  อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้พอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว  จึง
ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ใครหนอแลสนทนากะพวกภิกษุในอุปัฏฐานศาลา
ชักชวนให้อาจหาญ  ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรม  และกล่าวอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มี
ราตรีหนึ่งเจริญ  ฯ
	ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า  ท่านพระอานนท์  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ
	ลำดับนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์เธอสนทนากะภิกษุ
ทั้งหลาย  ชักชวนให้อาจหาญ  ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรมได้กล่าวอุเทศและวิภังค์ของบุคคล
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญอย่างไรเล่า  ฯ
 [๕๓๗]  ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์สนทนากะภิกษุ
ทั้งหลาย  ชักชวนให้อาจหาญ  ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรมได้กล่าวอุเทศและวิภังค์ของบุคคล
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญอย่างนี้ว่า
	บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว  ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยัง
	ไม่มาถึง  สิ่งใดล่วงไปแล้ว  สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
	และสิ่งที่ยังไม่มาถึง  ก็เป็นอันยังไม่ถึง  ก็บุคคลใดเห็นแจ้ง
	ธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น  ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ
	ได้  บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ  ให้ปรุโปร่งเถิด