พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/263/178 179

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เล่ม 23
หน้า 263
จำแล้ว ๑รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ หาเป็นผู้มีวาจางามกล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ไม่หาชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงไม่ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ จบสูตรที่ ๑๐ ลัจฉาสูตรที่ ๔
[๑๗๘] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นผู้สามารถในอัน ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเข้าใจเร็ว ในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ได้ ทรงจำไว้หารู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ เป็นผู้มีวาจางามกล่าวถ้อยคำ ไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑ เป็นผู้ชี้แจง สพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ๑ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถ ในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ฯ จบสูตรที่ ๑๑ ลัจฉาสูตรที่ ๕
[๑๗๙] ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้สามารถใน อันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน แต่ไม่สามารถในอันปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน ดูกรอาวุโสทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็ว