พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/260/562

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
เล่ม 20
หน้า 260
เหตุละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว และรู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุไม่เกิดขึ้นต่อไปแห่งถีนมิทธะที่ละได้แล้ว อุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ในภายในก็รู้ว่า อุทธัจจกุกกุจจะของเรามีอยู่ในภายใน หรืออุทธัจจกุกกุจจะ ไม่มีอยู่ในภายในก็รู้ว่า อุทธัจจกุกกุจจะของเราไม่มีในภายใน ย่อมรู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุเกิดขึ้น แห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดขึ้นรู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว และ รู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุไม่เกิดขึ้นต่อไปแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ละได้แล้ว วิจิกิจฉามีอยู่ในภายในก็รู้ ว่าวิจิกิจฉาของเรามีอยู่ในภายใน หรือวิจิกิจฉาไม่มีในภายในก็รู้ว่า วิจิกิจฉาของเราไม่มีในภาย ใน ย่อมรู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุเกิดขึ้นแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดขึ้น รู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุละ วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว และรู้ชัดซึ่งอาการเป็นเหตุไม่เกิดขึ้นต่อไปแห่งวิจิกิจฉาที่ละได้แล้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า มโนโสเจยย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสะอาด ๓ อย่างนี้แล ฯ ผู้ที่มีกายสะอาด มีวาจาสะอาด มีใจสะอาด ไม่มีอาสวะ เป็นผู้สะอาด ถึงพร้อมด้วยความสะอาด บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่า เป็นผู้ล้างบาป เสียแล้ว ฯ โมเนยยสูตร
[๕๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมุนี ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ความเป็น มุนีทางกาย ๑ ความเป็นมุนีทางวาจา ๑ ความเป็นมุนีทางใจ ๑ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเป็น มุนีทางกายเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความเป็นมุนีทาง กาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเป็นมุนีทางวาจาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจาก การพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำหยาบ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความเป็นมุนีทางวาจา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเป็นมุนีทางใจเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้ง หลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความเป็น มุนีทางใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมุนี ๓ อย่างนี้แล ฯ