พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/259/330
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
อย่างนั้น พระองค์ ฯ
พ่ออุตตระ ก็เพราะเหตุไร เธอให้ทานแล้ว จึงอุทิศอย่างนั้นเล่า พ่ออุตตระ พวก
เราต้องการบุญ หวังผลแห่งทานแท้ๆ มิใช่หรือ ฯ
ในทานของพระองค์ยังให้โภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดอง เป็นกับข้าว
พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงบริโภค อนึ่งเล่า ผ้าก็เนื้อหยาบ
มีชายขอดเป็นปมๆ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้อง แม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงนุ่งห่ม
พระองค์เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของพวก ข้าพระพุทธเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รัก
เป็นที่พอใจไปด้วยสิ่ง ไม่เป็นที่พอใจอย่างไรได้ ฯ
พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เราบริโภคโภชนะชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่ง โภชนะชนิดนั้น
เป็นทาน เรานุ่งห่มผ้าชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดนั้นเป็นทาน อุตตรมาณพ รับพระดำรัส
เจ้าปายาสิแล้ว เริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะชนิดที่เจ้าปายาสิเสวย และเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดที่เจ้าปายาสิ
ทรงนุ่งห่ม เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิมิได้ทรงให้ ทานโดยเคารพ มิได้ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์
พระองค์เอง มิได้ทรงให้ทานโดย ความนอบน้อม ทรงให้ทานอย่างทิ้งให้ ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว
เข้าถึงความเป็น สหายกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช คือ ได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ส่วน
อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทาน ด้วยมือของตน
ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ คือถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ฯ
[๓๓๐] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระควัมปติเถระไปพักกลางวันยังเสรีสก วิมานอันว่างเปล่า
เนืองๆ ลำดับนั้น ปายาสิเทวบุตรเข้าไปหาท่านควัมปติถึงที่อยู่ แล้วอภิวาท ยืนอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ท่านควัมปติได้กล่าวถามปายาสิเทว บุตรว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ ฯ
ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า ไม่มี
เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ ฯ