พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/257/509      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
             กระสับกระส่าย  ล่วงวัยหนุ่มสาว  ฟันหักผมหงอก  หนังย่น  ศีรษะล้าน  เหี่ยว  ตัวตกกระ
ในหมู่มนุษย์หรือ  ฯ
	สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า  เห็น  เจ้าข้า  ฯ
	พระยายมถามอย่างนี้ว่า  ดูกรพ่อมหาจำเริญ  ท่านนั้นรู้ความ  มีสติ  เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ได้
มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า  แม้ตัวเราแล  ก็มีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
ควรที่เราจะทำความดีทางกาย  ทางวาจา  และทางใจ  ฯ
	สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้าไม่อาจ  เจ้าข้า  มัวประมาทเสีย  เจ้าข้า  ฯ
	พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า  ดูกรพ่อมหาจำเริญ  ท่านไม่ได้ทำดีทางกายทางวาจา  และทางใจ
ไว้  เพราะมัวประมาทเสีย  ดังนั้น  เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว  ก็
บาปกรรมนี้นั่นแล  ไม่ใช่มารดาทำให้ท่านไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน  ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน  ไม่ใช่
พี่น้องหญิงทำให้ท่าน  ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน  ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน  ไม่ใช่สมณะ
และพราหมณ์ทำให้ท่าน  ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน  ตัวท่านเองทำเข้าไว้  ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
ของบาปกรรมนี้  ฯ
 [๕๐๙]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พระยายมครั้นปลอบโยน  เอาอกเอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่  ๒
กะสัตว์นั้นแล้ว  จึงปลอบโยน  เอาอกเอาใจ  ไต่ถามถึงเทวทูตที่  ๓  ว่า  ดูกรพ่อมหาจำเริญ  ท่าน
ไม่ได้เห็นเทวทูตที่  ๓  ปรากฏในหมู่  มนุษย์หรือ  ฯ
	สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย  เจ้าข้า  ฯ
	พระยายมถามอย่างนี้ว่า  ดูกรพ่อมหาจำเริญ  ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย  ผู้ป่วย  ทนทุกข์
เป็นไข้หนัก  นอนเปื้อนมูตรคูถของตน  มีคนอื่นคอยพยุงลุกพยุงเดิน  ในหมู่มนุษย์หรือ  ฯ
	สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า  เห็น  เจ้าข้า  ฯ
	พระยายมถามอย่างนี้ว่า  ดูกรพ่อมหาจำเริญ  ท่านนั้นรู้ความมีสติ  เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ได้มี
ความดำริดังนี้บ้างไหมว่า  แม้ตัวเราแล  ก็มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วย
ไปได้  ควรที่เราจะทำความดีทางกาย  ทางวาจา  และทางใจ  ฯ
	สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้าไม่อาจ  เจ้าข้า  มัวประมาทเสีย  เจ้าข้า  ฯ