พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/251/318 319
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
อย่างไรกัน เมื่อทารกนั้นกำลังมองดู อยู่ ชฎิลนั้นหยิบไม้สีไฟมาสีให้เกิดไฟแล้ว ได้บอกทารก
นั้นว่า เขาติดไฟกัน อย่างนี้ ไม่เหมือนอย่างเจ้าซึ่งยังเขลา ไม่เฉียบแหลม แสวงหาไฟโดยไม่
ถูกทาง ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม ทรงแสวงหา
ปรโลกโดยไม่ถูกทาง ขอบพิตรจงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ขอบพิตร จงปล่อยวาง
ทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้บังเกิดมีแก่บพิตร เพื่อ มิใช่ประโยชน์ เพื่อ
ความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
[๓๑๘] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังหาอาจ สละคืนทิฐิ
อันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้ง หลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า
พญาปายาสิมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะ เหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิด
ขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำ ชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้
ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ ว่า พญาปายาสิช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด
ข้าพเจ้าก็ จักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอ บ้าง ฯ
[๓๑๙] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษ ผู้เป็นวิญญูชน
ในโลกนี้ บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกร บพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว
พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ มีเกวียนประมาณพันเล่ม ได้ เดินทางจากชนบทอันตั้งอยู่ในบุรพทิศ ไปยัง
ชนบทอันตั้งอยู่ในปัจจิมทิศ พ่อค้า เกวียนหมู่นั้นไปอยู่ หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมดเปลือง
ไปโดยรวดเร็ว ก็ ในหมู่นั้นมีนายกองเกวียน ๒ คน คนหนึ่งมีพวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกคนหนึ่ง
มี พวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม ลำดับนั้น นายกองเกวียน ๒ คน นั้นได้ปรึกษากันว่า หมู่เกวียนหมู่
ใหญ่นี้มีเกวียนประมาณพันเล่ม พวกเราเหล่านั้นไปรวมกันอยู่ หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมด
เปลืองไปโดยรวดเร็ว ถ้ากระไร พวกเราควรจะแยก หมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้ออกเป็น ๒ หมู่ คือหมู่หนึ่งมี
เกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม พ่อค้าเกวียนเหล่านั้นแยกหมู่เกวียนนั้นออก
เป็น ๒ หมู่แล้ว คือหมู่ หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม นายกองเกวียน
คนหนึ่ง บรรทุกหญ้า ฟืน และน้ำเป็นอันมากแล้วขับหมู่เกวียนไปก่อน เมื่อขับไปได้สอง สามวัน
หมู่เกวียนนั้นได้เห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอก กุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก
แล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา ครั้นแล้ว จึงได้ถามขึ้นว่า ดูกรท่าน ท่านมาจากไหน ฯ